เล็บขบ ปัญหาสุขภาพเท้า ที่พบได้บ่อยๆ จะรับมืออย่างไร

เล็บขบ ปัญหาสุขภาพเท้า ที่พบได้บ่อยๆ จะรับมืออย่างไร

เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยเจอกับปัญหาเล็บขบมาบ้างแล้ว เพราะเมื่อเวลาที่เป็นเล็บขบนั้นจะมีความปวดทรมานมากจนบางครั้งไม่อาจจะใส่รองเท้าได้เลย ปัญหาเล็บขบถึงแม้ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรแต่ก็สร้างความรำคาญใจให้กับผู้เป็นไม่น้อย เล็บขบเกิดจากขอบเล็บงอกไปเบียดเนื้อข้างเล็บ หรือเล็บเท้างุ้มลงไปทำให้ไปเบียดเนื้อข้างๆ เกิดอาการบวมอักเสบขึ้นมาบางครั้งก็อาจเกิดจากการตัดเล็บสั้นจนเกินไปเกิดได้จากหลายสาเหตุ เล็บขบเกิดจากอะไรและจะมีวิธีรับมือแบบไหนมาหาคำตอบไปด้วยกันเลยดีกว่า

เล็บขบ เกิดจากอะไร

เล็บขบหรือเล็บคุด (Ingrown Nail) ปัญหาเล็บขบเกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่การตัดเล็บเท้าที่ผิดวิธีหรือเล็บที่ตัดงอกขึ้นมาใหม่ทิ่มเข้าไปในเนื้อด้านในเกิดจากการที่สวมใส่รองเท้าที่รัดแน่นเกินไปรวมถึงการที่เกิดอุบัติเหตุที่หัวแม่เท้าจนก่อให้เกิดการติดเชื้ออักเสบขึ้นมาตลอดจนความผิดปกติของหัวแม่เท้าที่มีลักษณะที่เล็บเกิดใหม่งองุ้มเข้าไปในเนื้อจนเกิดเป็นเล็บขบและนี่คือปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดเป็นเล็บขบขึ้นมาเช่น

  • การที่ขาดการดูแลสุขภาพเล็บไม่มีการทำความสะอาดหรือแคะเศษดินออกจากเล็บเท้าทำให้เกิดมีเชื้อราที่เล็บ
  • การที่เล็บเท้ากว้างกว่าปกติหรือมีการงอกเล็บใหม่ที่โค้งผิดปกติ
  • การสวมใส่รองเท้าที่คับแน่นจนเกินไปจนทำให้กดเล็บเท้าทำให้นิ้วเท้าเบียดซ้อนกัน
  • เกิดจากการประสบอุบัติเหตุเดินเตะโต๊ะหรือเก้าอี้สิ่งของที่หนัก
  • การเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่ทำให้กระดูกนิ้วเท้าทำงานหนักมากเกินไปอย่างเช่นการเล่นบัลเล่ต์ เตะฟุตบอล

อาการแบบไหน บ่งบอกว่าเป็นเล็บขบ

สำหรับอาการที่บ่งบอกว่ากำลังจะเป็นเล็บขบนั้นเริ่มแรกเท้าตรงหัวแม่เท้าจะมีอาการบวมแดงและเจ็บจนบางครั้งรู้สึกเจ็บแปบๆ ปวดตึบๆ เวลาเดินจะรู้สึกรำคาญหากเกิดรุนแรงขึ้นจะมีอาการบวมและมีหนองติดเชื้อขึ้นมาและอาจพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วยดังนี้

  • เล็บขบเป็นหนอง ผู้ป่วยที่มีอาการเล็บขบเป็นหนองสามารถมองเห็นก้อนหนองที่รวมตัวอยู่ตรงบริเวณรอบๆ หัวแม่เท้ากรณีนี้แสดงว่าเล็บขบติดเชื้อ
  • เล็บขบอักเสบ จะมีอาการบวมแดงรอบๆ ตรงหัวแม่เท้าผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บบริเวณหัวแม่เท้าทั้งสองด้าน
  • เล็บขบเหม็น สามารถเกิดการติดเชื้อได้บริเวณเนื้อมุมเล็บ เนื่องจากว่าอาการเล็บขบจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเล็บกับเนื้อทำให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าไปอาศัยอยู่และเกิดมีกลิ่นขึ้นมา
  • เล็บขบเนื้องอก เล็บขบแบบนี้จะมีเนื้องอกปูดขึ้นมาข้างเล็บ ซึ่งเกิดจากการอักเสบส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่ออาการเล็บขบหาย

วิธีการรักษา

ผู้ป่วยเล็บขบที่มีอาการรุนแรงในควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีแต่ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รุนแรงเล็บขบไม่ได้ติดเชื้ออะไรสามารถบรรเทาอาการเล็บได้ด้วยตนเองโดยใช้วิธีดังต่อไปนี้

  • ใช้ใบบัวบกล้างให้สะอาดและนำมาบดหรือตำให้แหลกและนำมาพอกบริเวณที่เป็นเล็บขบปล่อยทิ้งไว้จนแห้งหลังจากนั้นให้นำผ้ามาพันรอบแผลทิ้งไว้เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
  • นำใบฝรั่งจำนวน 2 ใบ มาโขลกผสมรวมกับเกลือและข้าวสุก จากนั้นนำมาพอกบริเวณที่เป็นเล็บขบจะช่วยบรรเทาอาการปวดตึบๆ ได้ดี
  • ผสมผงขมิ้น 3 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่นครึ่งกะละมังนำมาแช่เท้าสัก 15 นาทีเพื่อช่วยบรรเทาอาการอักเสบและอาการปวดของเล็บขบ
  • นำน้ำอุ่นผสมกับเกลือ 1 ถ้วยตวงและแช่เท้าลงไปนานประมาณ 10 นาที ทำวันละ 3 – 4 ครั้งเพื่อบรรเทาอาการปวด
  • นำมะนาวมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาประคบบริเวณที่เป็นเล็บขบทิ้งไว้ทั้งคืนเพื่อรักษาอาการอักเสบเล็บขบ

วิธีการป้องกันเล็บขบ

สำหรับใครๆ ที่ไม่อยากเป็นเล็บขบสามารถป้องกันเล็บขบได้ง่ายๆ เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและพยายามลดความเสี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นเล็บขบเช่น

  • หมั่นรักษาความสะอาดมือและเท้าเป็นประจำทุกวัน
  • เมื่อเท้าเปียกเช็ดให้แห้งและทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับนิ้วเท้าเล็บ
  • หลีกเลี่ยงและระวังการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเท้า
  • สวมรองเท้านิรภัยหรือรองเท้าที่สามารถป้องกันเท้าเมื่อต้องทำงานอันตรายต่อเท้า
  • พยายามตัดเล็บไม่ให้สั้นเกินไปโดยเฉพาะบริเวณ ขอบๆ หัวแม่เท้า
  • ควรใช้กรรไกรตัดเล็บที่มีขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไปและตัดด้วยความระมัดระวัง
  • หากเป็นเล็บมือควรตัดปลายเล็บในลักษณะที่โค้งตามรูปเล็บแต่ถ้าเป็นเล็บเท้าควรตัดในลักษณะที่ตรงเท่านั้น เพื่อลดปัญหาเล็บขบ
  • ควรทำการตะไบปลายเล็บในทิศทางเดียวกันไม่ทำแบบสลับไปมาเพราะอาจทำให้เล็บเสียหายหรืออักเสบได้
  • งดการตัดจมูกเล็บหรือตัดจนสั้นถึงเนื้อเพราะจะยิ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการระคายและติดเชื้อได้

อาการเล็บขบไม่ใช่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่เป็นเล็บขบได้ไม่น้อย หากอาการเล็บขบไม่รุนแรงมากก็สามารถดูแลรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้นก่อนแต่ถ้าเล็บขบมีอาการรุนแรงมีหนองและติดเชื้อแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธีจะดีกว่ารักษาด้วยตนเอง